การออกแบบระบบปรับอากาศสำหรับห้องแยกโรค (Isolation Room)
200331

การออกแบบระบบปรับอากาศสำหรับห้องแยกโรค (Isolation Room) ต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสุขอนามัยและความปลอดภัย โดยมีข้อพิจารณาดังนี้:

1. การควบคุมอากาศ
 • การระบายอากาศ (Ventilation): ห้องแยกโรคต้องมีการระบายอากาศที่ดี เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อโรคหรือสารปนเปื้อนในอากาศ โดยการระบายอากาศจะต้องมีการใช้ระบบระบายอากาศที่ไม่เกิดการหมุนเวียนอากาศกลับเข้าไปในห้อง (Negative Pressure).
 • การทำความสะอาดอากาศ (Air Filtration): ควรติดตั้งฟิลเตอร์ HEPA (High-Efficiency Particulate Air) เพื่อกรองอนุภาคขนาดเล็กและเชื้อโรคที่อาจอยู่ในอากาศ การกรองด้วย HEPA ช่วยลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากห้องแยกโรคไปยังพื้นที่อื่น.

2. การตั้งค่าความดัน
 • ความดันลบ (Negative Pressure): ห้องแยกโรคควรมีความดันลบ เมื่อเทียบกับห้องที่อยู่ภายนอก เพื่อให้การไหลของอากาศไปสู่ห้องแยกโรคและไม่สามารถกลับออกมาได้ในกรณีที่มีการเปิดประตูหรือหน้าต่าง วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้อากาศที่มีเชื้อโรคออกจากห้องไปยังพื้นที่อื่น.
 • การควบคุมความดัน: การควบคุมความดันในห้องแยกโรคควรมีการตรวจวัดความดันอากาศอย่างสม่ำเสมอ ด้วยเครื่องมือที่สามารถปรับตั้งและแสดงผลความดัน.

3. ระบบการหมุนเวียนอากาศ
 • การหมุนเวียนอากาศ: ควรมีการหมุนเวียนอากาศที่เพียงพอ โดยให้มีการเปลี่ยนอากาศภายในห้องอย่างน้อย 12–15 ครั้งต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับขนาดห้องและข้อกำหนดทางสุขอนามัย.
 • การนำอากาศเข้าจากภายนอก (Fresh Air Intake): การนำอากาศจากภายนอกเข้ามาผ่านระบบกรองอากาศ เช่น ฟิลเตอร์ HEPA ช่วยให้ห้องแยกโรคมีอากาศบริสุทธิ์.

4. การควบคุมอุณหภูมิและความชื้น
 • อุณหภูมิ: ควรรักษาอุณหภูมิภายในห้องให้คงที่และไม่สูงจนเกินไป อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับห้องแยกโรคอยู่ที่ประมาณ 22–24 องศาเซลเซียส.
 • ความชื้น: ความชื้นในห้องแยกโรคควรควบคุมให้อยู่ในช่วง 40%–60% เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของเชื้อโรคและลดความเสี่ยงจากการระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม.

5. การป้องกันเสียงรบกวน
 • ระบบปรับอากาศในห้องแยกโรคต้องมีการออกแบบที่ลดเสียงรบกวน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบกับผู้ป่วยหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ทำงานในห้อง.

6. การควบคุมการไหลเวียนอากาศ
 • Airflow Direction: ระบบควรมีการออกแบบการไหลของอากาศที่สอดคล้องกับความต้องการ โดยให้ลมไหลจากพื้นที่สะอาดไปสู่พื้นที่ที่มีความเสี่ยง.

7. การดูแลและบำรุงรักษาระบบ
 • ระบบปรับอากาศควรได้รับการบำรุงรักษาเป็นประจำ เพื่อตรวจสอบความสามารถของฟิลเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคหรือเชื้อไวรัส.

8. ระบบการตรวจสอบ
 • การติดตั้งระบบตรวจจับความดัน, ความชื้น, อุณหภูมิ และระดับอากาศในห้องแยกโรค เพื่อให้มีการตรวจสอบและควบคุมอย่างถูกต้องตลอดเวลา.

9. ระบบแจ้งเตือน
 • ระบบแจ้งเตือนเมื่อความดันหรือคุณภาพของอากาศในห้องมีความผิดปกติ, เช่น เมื่อฟิลเตอร์ HEPA ต้องการการเปลี่ยนแปลงหรืออากาศมีการไหลเวียนไม่เพียงพอ.

การออกแบบระบบปรับอากาศในห้องแยกโรคจึงต้องคำนึงถึงทั้งการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค การควบคุมอุณหภูมิและความชื้น รวมถึงการตรวจสอบระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจในความปลอดภัยของผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์

Scroll to Top